อันตรายของไข้หวัดใหญ่
ฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ ดีอย่างไร?
- เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ มีการเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์ทุกปี
- กระตุ้นและเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
- ลดความเสี่ยงการเกิดภาวะแทรกซ้อน
- ลดอัตราการเสียชีวิต
- ลดค่าใช้จ่ายในการรักษา นอนโรงพยาบาล
- ปกป้องผู้ป่วยโรคเรื่องรังจากความเสี่ยงต่อโรคติดเชื้อ
- ป้องกันคนที่คุณรัก ช่วยลดการระบาดของโรค
ฉีดตอนไหนดี? ช่วงเวลาที่แนะนำให้ฉีด
- ช่วงหน้าฝน (มิถุนายน – กันยายน)
- ช่วงหน้าหนาว (พฤศจิกายน – กุมภาพันธ์)
โรคไข้หวัด และ ไข้หวัดใหญ่
โรคไข้หวัด และ ไข้หวัดใหญ่ เป็นโรคติดเชื้อทางเดินหายใจตอนบนที่พบบ่อยเกือบตลอดปีเป็นได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ โดยเฉพาะเด็กเล็กอาจเป็นปีละหลายครั้ง โรคหวัด มักเป็นในฤดูหนาว ฤดูฝน หรือช่วงที่มีอากาศเปลี่ยนแปลง และ สามารถติดต่อกันได้ง่าย ในสถานที่มีกลุ่มคน เช่น โรงเรียน สถานที่ทำงาน เป็นต้น
สาเหตุของโรคหวัด
- ไข้หวัด เกิดจาก เชื้อไวรัส ที่มีอยู่มากกว่า 200 ชนิดของกลุ่มไวรัสต่างๆ แต่ที่พบบ่อยที่สุดเกิดจาก เชื้อไวรัสกลุ่มไรโนไวรัส (rhinovirus) ซึ่งมีมากกว่า 100 ชนิด และเป็นกลุ่มไวรัสที่ติดต่อได้ง่าย นอกจากนี้มีกลุ่ม ไวรัสโคโรนา(coronavirus) กลุ่ม ไวรัสเอนเทอโร (enterovirus) เป็นต้น
- ไข้หวัดใหญ่ เกิดจาก เชื้อไวรัสอินฟลูเอนซา (influenzavirus) มีอยู่ 3 ชนิดใหญ่เรียกว่า ชนิด เอ บี และซี ซึ่งแต่ละชนิดยังแบ่งเป็นสายพันธุ์ย่อยอีกมากมาย โดยเชื้อไวรัส ชนิดเอทำให้เกิดโรคระบาดมากกว่าชนิดอื่นจึงก่อให้เกิดโรคบ่อยที่สุดและมีอาการรุนแรงมากกว่านอกจากนั้นสามารถกลายพันธ์เป็นสายพันธุ์ใหม่ๆ ซึ่งมักจะรุนแรงมากกว่าสายพันธุ์เดิม การเป็นโรคไข้หวัดหรือไข้หวัดใหญ่ในแต่ละครั้งจะเกิดจากเชื้อไวรัสเพียงหนึ่งสายพันธุ์ย่อยเมื่อหายแล้วร่างกายจะมีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสตัวนั้น และถ้าเป็นหวัดครั้งใหม่จะเกิดจากเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่หมุนเวียนไป
การติดต่อ
เชื้อไวรัสไข้หวัด และ ไข้หวัดใหญ่ มีอยู่ในน้ำมูก น้ำลายและเสมหะของผู้ป่วย สามารถแพร่เชื้อจากคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่งได้รวดเร็วโดย
- การหายใจเอา เชื้อโรคที่แพร่กระจายอยู่ในอากาศ เข้าไปซึ่งมาจากการไอหรือจามของผู้ป่วย
- การสัมผัสน้ำมูก น้ำลายหรือเสมหะของผู้ป่วย จากการสัมผัสถูกมือและสิ่งของเครื่องใช้ที่ปนเปื้อนเชื้อหวัด เช่น ผ้าเช็ดหน้า แก้วน้ำ โทรศัพท์ ปากกา เป็นต้น แล้วใช้นิ้วมือขยี้ตา แคะจมูกหรือเข้าปาก เชื้อหวัด จะเข้าสู่ร่างกายโดยผ่านทางเยื่อบุตา จมูกและปากนอกจากนั้นสภาวะอากาศที่หนาวแห้งทำให้ เชื้อไวรัส คงตัวอยู่ในอากาศได้นานมากขึ้น
ระยะติดต่อของ เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ ที่สามารถแพร่เชื้อไปยังผู้อื่น คือ
- 1 วันก่อนเกิดอาการ
- 5 วันหลังจากมีอาการ
อาการของโรคหวัด
- ไข้หวัดจะมีอาการ คอแห้ง และ คันคอ คัดจมูก มีน้ำมูกใส จาม และไอ อาจมีหรือไม่มีเสมหะ บางครั้งอาการไออาจนาน 2-3 สัปดาห์ ไข้หวัดในเด็ก มักมีไข้ส่วนผู้ใหญ่อาจไม่มีไข้หรือมีไข้ต่ำๆ
- ไข้หวัดใหญ่ จะมีความรุนแรงมากกว่าไข้หวัดแต่ จะอาการค่อนข้างเร็วและ ส่วนใหญ่จะมีอาการภายใน 1-4 วัน หลังการติดเชื้อ
- มีไข้สูง 39 – 40 องศา ประมาณ 2-4 วันไข้จะค่อยๆลดลง หากเป็นในเด็กเล็กอาจทำให้ชักได้ และหญิงตั้งครรภ์อาจทำให้แท้งได้
- ปวดศีรษะรุนแรง ปวดกล้ามเนื้อ-ข้อ และอ่อนเพลียมาก
- ปวดกระบอกตา ตาแดง น้ำตาไหล
- เจ็บคอ และคอแดง
- มีน้ำมูกไหล ไอแห้งๆ อาจไออยู่นาน 1-2 สัปดาห์
- เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน หรือ มีอุจจาระร่วงในบางรายทำให้นอนพักฟื้นหลายวัน
โรคแทรกซ้อน
ผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอหรือมี ภูมิคุ้มกันต่ำ ได้แก่ เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ ผู้ที่ทำงานหนักและพักผ่อนไม่เพียงพอ ถ้าปฏิบัติตัวไม่ถูกต้องและไม่ได้ไปรับการรักษาอาจทำให้เกิดการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนมีอักเสบของอวัยวะใกล้เคียง เช่น ทอนซิลอักเสบ หลอดลมหรือกล่องเสียงอักเสบ
- ไซนัสอักเสบ
- หูชั้นกลางหรือหูชั้นในอักเสบ
- ปอดอักเสบหรือปอดบวม
ผู้ที่มีโรคประจำตัวหรือเป็นโรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจ โรคปอด โรคตับ โรคเลือด โรคมะเร็ง โรคเอดส์ เป็นต้นจากการเจ็บป่วยไข้หวัดใหญ่อาจทำให้เกิดการติดเชื้อและโรคประจำตัวที่เป็นอยู่เกิดอาการรุนแรงจนเป็นอันตรายต่อชีวิตได้หรือจากโรคแทรกซ้อนที่อันตราย ได้แก่
- เกิดฝีในปอดหรือเกิดหนองในเยื่อหุ้มปอด
- สมองและเยื่อหุ้มสมองอักเสบ
- เยื่อหุ้มหัวใจ และ กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ
การรักษา
- ส่วนใหญ่เป็นการรักษาตามอาการ เช่น ลดไข้ ลดน้ำมูกและลดอาการไอ เป็นต้น โรคหวัดจะหายได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์ ควรดูแลสุขภาพอย่างถูกต้อง
- ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคเรื้อรัง เด็กเล็ก หญิงตั้งครรภ์และเด็กโตที่มีอาการนานกว่า 7 วัน ควรพบแพทย์เพื่อรับการรักษาไม่ให้มีอาการรุนแรงและ ป้องกันการเกิดโรคแทรกซ้อน
- ให้ยาปฏิชีวนะ เมื่อมีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน แต่สำหรับผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีโรคประจำตัว แพทย์อาจให้ ยาปฏิชีวนะ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิด โรคแทรกซ้อน
- ให้ ยาต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่ สำหรับกลุ่มที่เสี่ยง เพื่อลดความรุนแรงของโรคและลดการเกิดโรคแทรกซ้อน
การดูแลสุขภาพเมื่อเป็น ไข้หวัดและ ไข้หวัดใหญ่
- นอนพักผ่อนให้มาก ดูแลร่างกายให้อบอุ่นจะทำให้หาย
- ป่วยได้เร็วขึ้น ควรพักอยู่บ้านและแยกนอนเพื่อไม่ให้แพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่น ไม่ควรอดนอนหรือตรากตรำทำงานหนัก ซึ่งจะทำให้ร่างกายอ่อนแอมากขึ้นและเกิดโรคแทรกซ้อนได้ง่าย
- ดื่มน้ำหรือเครื่องดื่มอุ่นๆให้มาก โดยเฉพาะผู้ที่มีเสมหะและไอจะช่วยให้เสมหะใส ลดอาการระคาย และ คัดจมูก ระยะนี้ไม่ควรดื่มน้ำเย็น
- ใช้ผ้าปิดปากและจมูกเวลาไอ หรือ จาม กระดาษเช็ดน้ำมูก และ น้ำลาย ควรใส่ถุงและทิ้งใน ถังขยะที่มีฝาปิดมิดชิด
- ไม่สั่งน้ำมูกแรงๆ เพราะจะทำให้เชื้อลุกลามไปยังอวัยวะใกล้เคียงได้
- รับประทานอาหารอ่อนที่มีประโยชน์และย่อยง่าย
- เมื่อมีอาการไอ เจ็บคอ หรือ โรคแทรกซ้อน ควรไปพบแพทย์ เพื่อรับการรักษาให้อาการทุเลาโดยเร็วและป้องกันการเกิดโรคแทรกซ้อนที่รุนแรงอื่นๆ ไม่ควรซื้อยาชุดนอกจากไม่จำเป็นแล้วยังเป็นอันตรายได้
- ผู้ที่มีอาการไอ ระยะนี้ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสต่อสิ่งระคายเคือง เช่น ควันบุหรี่ หรือ หยุดสูบบุหรี่ ควันมลพิษ เป็นต้น เพราะจะทำให้มีอาการไอรุนแรงมากขึ้น
การป้องกันการเป็น ไข้หวัด และไข้หวัดใหญ่
โรคไข้หวัดใหญ่ ถือว่า เป็นโรคติดเชื้อรุนแรง สำหรับผู้สูงอายุ หรือ ผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอ จะรับเชื้อเข้าสู่ร่างกาย และ เกิดการเจ็บป่วยได้ง่าย ดังนั้นจึงควรใส่ใจการป้องกันโรคหวัด ได้แก่
- พักผ่อนให้เพียงพอ อย่าอดนอน หรือ นอนรวมกับผู้ที่เป็นโรคหวัด
- ไม่คลุกคลีใกล้ชิดหรือใช้ของร่วมกับผู้ที่เป็น โรคหวัด เช่น แก้วน้ำ ปากกา เป็นต้น
- ล้างมือบ่อย ๆ หลังการสัมผัสสิ่งของที่อาจปนเปื้อนและหลีกเลี่ยงการใช้มือขยี้ตาแคะจมูกหรือเข้าปาก
- หมั่นออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพื่อให้ร่างกายแข็งแรงอยู่เสมอ และอย่าตรากตรำงานหนัก
- ดูแลร่างกายให้อบอุ่นอยู่เสมอ โดยเฉพาะผู้สูงอายุ สวมเสื้อผ้าให้เหมาะกับฤดูกาล ไม่ควรตากฝน หรือ ตากแดดที่ร้อนจัดเป็นเวลานาน ๆ
- ไม่ควรอยู่ในสถานที่มีคนแออัด โดยเฉพาะเมื่อมี การระบาดของโรคหวัด
- ฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ สำหรับผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอ หรือมีความเสี่ยงสูงต่อการเป็นโรคแทรกซ้อน วัคซีนจะป้องกันโรคได้ต่อปี และหลังฉีด 2 สัปดาห์ ร่างกายจึงภูมิคุ้มกันสูงพอในการป้องกันโรค ควรฉีดก่อนมีการระบาดของโรคหวัด
